เมื่อเวลา 19.40 วันที่ 3 กรกฎาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เพื่อไทย (พท.) แถลงหลังทราบผลว่า พท.ได้รับคะแนนนำสูงสุดในการเลือกตั้งทั่วไป ว่า เรียนพี่น้องประชาชนทุกท่าน ดิฉัน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องขอถือโอกาสนี้ขอบคุณ ประชาชนตลอด 40 วันที่ให้การต้อนรับ และการสนับสนุนอย่างอบอุ่น และถือโอกาสนี้ ขอบคุณประชาชนสำหรับทุกคะแนนเสียงที่มอบให้ พท.
"ขอบคุณสื่อทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ ที่ได้ติดตามดิฉันตลอด 40 วันที่ผ่านมา รวมถึงดิฉันเองขอบคุณ คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) และพรรคการเมืองทุกพรรคที่ทำให้บรรยากาศพรรคการเมืองเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ทำให้การเลือกตั้งนี้ ผ่านไปด้วยดี และสงบเรียบร้อย ทั้ง ดิฉันและพรรคเพื่อไทย คงต้องรอผลอย่างเป็นทางการก่อน ดิฉัน และ พท.จะทำทุกนโยบายที่ได้ให้ไว้กับ ปชช.อย่างเต็มที่ เราจะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด และจะไม่ทำให้ ปชช.ผิดหวัง และไม่อยากเรียนว่า พท.ชนะ แต่จะบอกว่า ปชช.ได้ให้โอกาส พท. ซึ่งยังมีอีกเยอะ ที่จะต้องทำ ทั้งเศรษฐกิจ และทำให้ประเทศเข้มแข็ง ล้วนเป็นงานที่เป็นภาระหนัก ที่จะต้องทำ เพราะเพิ่งริ่มต้นเท่านั้น" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่ นอกจากนี้ ทาง กก.บห.เพื่อไทย ได้พูดคุยได้พูดกับพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เรียบร้อย และเชื่อว่าจะมีพรรคอื่นที่จะมาพูดคุยจัดตั้งรัฐบาลเพิ่มอีก ท้ายนี้ขอบคุณประชาชน สื่อ และทุกพรรคการเมือง และทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสมบูรณ์เรียบร้อย และจะทำหน้าทีนี้อย่างดีที่สุด และทำด้วยหัวใจอย่างดีที่สุด โอกาสนี้ขอให้พรรคเพื่อไทยได้ทำงาน
"ยืนยันจะไม่มีการแก้กฎหมายเพื่อใครคนเดียวแน่นอน" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
วันวิสาขบูชา
ความหมายของ วันวิสาขบูชา
คำว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ดังนั้น วิสาขบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6
การกำหนด วันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศอาจกำหนด วันวิสาขบูชา ไม่ตรงกับของไทย เนื่องด้วยประเทศเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไปจากประเทศไทย ทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนไปตามเวลาของประเทศนั้นๆ
ประวัติวันวิสาขบูชา และความสำคัญของ วันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด 3 เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ 3 ประการ ได้แก่
1. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ
เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "สมปรารถนา"
เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4 ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า และเมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า "พระราชกุมารนี้จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธ์อย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย" แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเปี่ยมล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส
2. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ
หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย
สิ่งที่ตรัสรู้ คือ อริยสัจสี่ เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ 4 แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ
คำว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ดังนั้น วิสาขบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6
การกำหนด วันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศอาจกำหนด วันวิสาขบูชา ไม่ตรงกับของไทย เนื่องด้วยประเทศเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไปจากประเทศไทย ทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนไปตามเวลาของประเทศนั้นๆ
ประวัติวันวิสาขบูชา และความสำคัญของ วันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด 3 เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ 3 ประการ ได้แก่
1. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ
เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "สมปรารถนา"
เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4 ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า และเมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า "พระราชกุมารนี้จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธ์อย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย" แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเปี่ยมล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส
2. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ
หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย
สิ่งที่ตรัสรู้ คือ อริยสัจสี่ เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ 4 แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ
สมัยอยุธยา
สังคมไทยสมัยอยุธยา
สภาพสังคมเป็นสังคมศักดินา เนื่องจากความต้องการกำลังคนหรือแรงงานเพราะแรงงานมีความสำคัญต่อความมั่นคงของอาณาจักร รัฐจึงต้องมีกำหนดกฎเกณฑ์ของสังคมเพื่อควบคุมแรงงานและกำลังคน อันเป็นผลให้เกิดสังคมศักดินาซึ่งเข้มแข็งมากในสมัยอยุธยา
สังคมศักดินาหมายถึงระบบสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น ซึ่งกำหนดสิทธิหน้าที่และฐานะของแต่ละบุคคลในสังคม จุดประสงค์ก็เพื่อควบคุมกำลังคนและแบ่งฐานะของบุคคลเป็นสำคัญ ผู้ควบคุมกำลังคนสูงสุด คือ พระมหากษัตริย์ รองลงมาได้แก่ ขุนนาง (ข้าราชการ) และผู้ถูกควบคุมคือ สามัญชนหรือไพร่ ระบบศักดินาได้รับการจัดระเบียบในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ โดยมีการตราพระราชกำหนดกฎหมายเกี่ยวกับศักดินาขึ้นใน พ.ศ. 1998 เรียกว่า “ พระไอยการตำแหน่งนายพลและนายทหารหัวเมือง“ สังคมไทยในอดีตมีการจัดระเบียบของคนในสังคมออกเป็น 2 ชนชั้นใหญ่ ๆ คือ ชนชั้นปกครองและชนชั้นใต้ปกครอง โดยมีศักดินาเป็นตัวกำหนดหน้าที่ในแต่ละชนชั้น
วัฒนธรรมอยุธยา
ศูนย์กลางอยู่ที่อยุธยา ราชบุรี และเพชรบุรี ลักษณะศิลปะแบ่งได้ดังนี้
- สถาปัตยกรรม
- ประติมากรรม
- จิตรกรรม
- นาฏศิลป์
- วรรณกรรม
- ชนชั้นปกครอง
- ชนชั้นใต้ปกครอง
ก่อนสมัยสุโขทัยและสมัยสุโขทัย
สภาพสังคมไทยก่อนสมัยสุโขทัยและสมัยสุโขทัย เป็นสังคมแบบระบบครอบครัวและเครือญาติ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เมื่ออพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยโดยมีลักษณะรวมกลุ่มเพื่อช่วยตัวเองในหมู่ญาติและอยู่กันเหมือนครอบครัวใหญ่ ส่วนลักษณะสังคมและการปกครองเป็นแบบพ่อบ้านกับลูกบ้านหรือพ่อขุนกับลูกขุนขนาดของชุมชนเป็นเพียงหมู่บ้านแล้วพัฒนาเป็นเมือง ขยายเป็นแคว้นในที่สุดเช่นแคว้นสุโขทัย ละโว้หริภุญชัย เชียงแสน เชียงใหม่ สถานะของคนไทยในสังคมไม่มีการแบ่งชนชั้นแต่ในปลายสมัยสุโขทัยตรงกับกษัตริย์พญาลิไท เริ่มมีการแบ่งชนชั้นและชนชั้นล่างหรือชนชั้นผู้ปกครองกับชนชั้นผู้อยู่ใต้ปกครอง ทำให้สังคมการปกครองแบบพ่อปกครองลูกเสื่อม ลงกลายเป็นระบบนายกับบ่าว และหัวหน้าสังคมในฐานะพ่อบ้านเริ่มพัฒนาไปเป็นพระมหากษัตริย
์
สมัยกรุงธนบุรี
ในสมัยกรุงธนบุรีได้รับการสืบทอดจากสมัยอยุธยา ลักษณะศิลปวัฒนธรรมยังไม่มีสิ่งใดโดดเด่น เพราะบ้านเมืองยังไม่มั่นคงนักประกอบกับกรุงธนบุรีเป็นราชธานีเพียงไม่กี่ปีก็เปลี่ยนเป็นกรุงรัตนโกสินทร์
สภาพสังคมเป็นสังคมศักดินา เนื่องจากความต้องการกำลังคนหรือแรงงานเพราะแรงงานมีความสำคัญต่อความมั่นคงของอาณาจักร รัฐจึงต้องมีกำหนดกฎเกณฑ์ของสังคมเพื่อควบคุมแรงงานและกำลังคน อันเป็นผลให้เกิดสังคมศักดินาซึ่งเข้มแข็งมากในสมัยอยุธยา
สังคมศักดินา หมายถึง ระบบสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น ซึ่งกำหนดสิทธิหน้าที่และฐานะของแต่ละบุคคลในสังคม จุดประสงค์ก็เพื่อควบคุมกำลังคนและแบ่งฐานะของบุคคลเป็นสำคัญ ผู้ควบคุมกำลังคนสูงสุดคือ พระมหากษัตริย์ รองลงมาได้แก่ ขุนนาง (ข้าราชการ) และผู้ถูกควบคุมคือ สามัญชนหรือไพร่ ระบบศักดินาได้รับการจัดระเบียบในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ โดยมีการตราพระราชกำหนดกฎหมายเกี่ยวกับศักดินาขึ้นใน พ.ศ. 1998 เรียกว่า “พระไอยการตำแหน่งนายพลเรือนและนายทหารหัวเมือง”
- ชนชั้นปกครอง
- ชนชั้นใต้ปกครอง
The Legend of MuayThai
Famous Muay Thai Boxers
Phraya Phichai
Muay Thai is a national sport of Thailand as well as a national passion. Known as the science of eight limbs Muay Thai kickboxing uses the knees and elbows as well as kicks and punches.Phraya Phichai
Phraya Phichai (th: พระยาพิชัย), or popularly known as Phraya Phichai Dap Hak (th:พระยาพิชัยดาบหัก; Phraya Phichai of the broken sword) (born: 1741 at Ban Huai Kha,Amphoe Phichai, Changwat Uttaradit; died: unknown) was a historic Thai nobleman inAyutthaya Period who fought the battles with two swords in both hands until one of which was broken
Phraya Phichai was a Siamese general serving under King Taksin. After the fall ofAyudhya in 1767, Phraya Pichai and Chao Phraya Chakri (who later become the first King of Chakri Dynasty) followed Phraya Taksin in repelling the Burmese and reuniting Siam. They were considered Phraya Taksin's left and right hands.
In 1782, King Taksin showed signs of mental illness. At that time, the nation still lacked stability and was in need of a strong ruler. A coup executed King Taksin, then the throne was offered to Chao Phraya Chakri. Phraya Pichai, a devout follower of King Taksin, was not spared, and by most account, requested for his own execution to follow King Taksin to his death. He was executed soon after.
He gained the name 'Phraya Phichai Dabhak' or 'Phraya Pichai Broken Sword' in a battle in which he kept fighting (and won) even after one of his blades was broken in half.
Birth
Phraya Phichai was born in 1741 at Ban Huai Kha, Amphoe Phichai, Changwat Uttaradit, having four brothers and sisters but three of them died before Phichai”s birth. His parents were unknown. His birthname was Choi (th: จ้อย; means: the little one).
Childhood
When Choi was a young boy, he loved to practice Thai boxing and would always be running away without his parents knowing, to train in the art. He trained with many teachers of that time.
One day, Choi left home northernwards and met with a boxing instructor named “Thiang” (th: เที่ยง) at Wat Ban Kaeng (th: วัดบ้านแก่ง). Choi then became a beloved student of Instructor Thiang and renamed as “Thong Di” (th: ทองดี), his instructor called him as “Mister Thong Di Fan Khao” (th: ทองดีฟันขาว; means: Thong Di whose teeth are white) as he did not chew betel nut. The Thai people loved chewing betel nut, which made their teeth black, since the ancient time until the Government under the premiership of Field Marshall Plaek Phibunsongkhramissued ban on chewing the nut in 1942.
Serving the Crown
One day, Phraya Tak was holding a boxing contest in the city of Tak during a traditional festival. Now a young man of twenty years, Thong Di asked the ring master to find him a match. The towns people having never seen the boxer before suggested that he take an opponent who had little experience so that it would make an exciting fight, but Thong Di insisted that he would fight the most skillful boxer in the town.
A famous boxing master of Tak, Arjarn Nai Hao, who nobody dared to challenge, gladly agreed to take the fight, knowing that those who had challenged the master before had been soundly and thoroughly beaten, why should this young upstart be any different? A huge crowd gathered to see the young boxer Thong Di fight the invincible Nai Hao.Throughout the bout Thong Di showed brilliant Thai boxing style.
Seeing a resounding victory over Nai Hao after witnessing such a formidable display, Phraya Tak showed no hesitation in asking Thong Di to join his army. On many occasions, Thong Di would display his talents in the Thai boxing ring before Phraya Tak (later to become King Taksin the great of Thonburi). His skill and bravery in the ring and the fact that no other boxer could defeat Thong Di, were very pleasing to Phraya Tak who appointed him to be his personal bodyguard.
The Emperor of China Kao Tsung, was alarmed by the military might of the Burmese. From 1766- 1769, the Emperor sent his armies four times to subdue the Burmese, but all four invasions failed. Siam was under the control of the Burmese since the sacking of Ayutthaya, but had to withdraw the bulk of its army from Siam to ward of the Chinese invasions, leaving behind only a small contingent. Phraya Tak taking advantage of the situation, organized his force and revolted.
Phraya Tak; At first was a guerrilla leader with only five hundred followers but within fifteen years his dominion was to embrace all of Siam. During the revolt Taksin managed to escape to Rayong on the East coast of Siam. Here with the help of Phraya Phichai, now his Commander-in-Chief, raised an army and declared all out war on Burma. The action was to eventually regain freedom for the Siamese people.
Phraya Phichai or (Thong Di), under the guidance of Phraya Tak and using guerrilla tactics, won back many small towns and villages from the Burmese. It was during one of the many battles, that Thong Di was to become famous. In 1773 an army under celebrated Burmese General Bo Supia was sent to capture the City of Phichai. Thong Di led the Thai army and fought him at Wat Aka and Phraya Sura Sri helped him battle the Burmese. The Burmese general was driven into retreat while sustaining great losses to his troops.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)